การปลูกกัญชาในประเทศไทย

สำหรับการปลูกกัญชาในประเทศไทย – พบว่า มีการปลูกและเสพกัญชากันมานานหลายร้อยปีมีการเสพจนติด เพื่อความสนุกสนาน และใช้ผสมอาหารเป็นครั้งคราว ประกอบกับการที่ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่อยู่ในเขตร้อน จึงสามารถปลูกกัญชาได้ตลอดปีต่อมาในช่วงของสงครามเวียดนามนั้นประเทศสหรัฐอเมริกาส่งกำลังทหารเข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทยโดยเฉพาะในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งพบว่า มีการติดยาเสพติดรวมถึงกัญชาถึงร้อยละ 30 (จันทรบูรณ์ สุทธิ,2539) และในขณะเดียวกันได้มีการค้ากัญชากันอย่างกว้างขวางไปทั่วโลกโดยมีแหล่งผลิตอยู่ใกล้ๆ กับฐานทัพต่างชาติ อนึ่ง ปัจจัยอันอาจเนื่องมาจากความแห้งแล้งของภูมิอากาศในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยซึ่งมีพื้นที่เหมาะสมต่อการปลูกกัญชา ทำให้กัญชาที่ผลิตในภูมิภาคนี้เป็นกัญชาที่มีคุณภาพดีแรงที่สุดในโลก สำหรับภาคที่มีการเพาะปลูกกัญชาในประเทศไทยนั้นได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคกลาง ซึ่งสามารถแบ่งตามรายจังหวัดได้ดังนี้ คือ 1. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดสกลนคร นครพนม ร้อยเอ็ดและจังหวัดใกล้เคียง 2.ภาคกลาง ได้แก่ จังหวัดชลบุรี นครปฐม กาญจนบุรี และเพชรบุรี 3.ภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย สุโขทัย ตากและจังหวัดใกล้เคียง โดยในจังหวัดต่างๆ เหล่านี้ มีการเลือกทำเลเพาะปลูกกัญชาตามบริเวณเชิงเขา ชายป่า ริมห้วย กลางไร่อ้อย ไร่มันสำปะหลัง ไร่ข้าวโพด ไร่ฝ้าย และปลูกปะปนไปตามไร่ข้าว ไร่ฝืน เป็นต้น ทั้งนี้ในส่วนของประเทศไทยนั้นได้พยายามห้ามมิให้มีการเสพและบริโภคพืชชนิดนี้ โดยได้ออกกฎหมายมาบังคับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2477

จากข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับกัญชา (2529) พบว่า ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนิยมปลูกในช่วงเดือนมิถุนายนถึงพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พื้นดินมีความชุ่มชื้น เหมาะต่อการเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตรเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกัญชา ซึ่งแต่เดิมนั้นมีการลักลอบปลูกเพียงเพื่อเสพและบริโภคในครัวเรือนโดยปลุกเพียง 4-5 ต้นตามสวนผักต่างๆ ต่อมาในปี พ.ศ. 2507 ประเทศสหรัฐอเมริกาได้เข้ามาตั้งฐานทัพ
ในประเทศไทยในหลายจังหวัด เช่น อุดรธานี อุบลราชธานีและนครพนม โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จังหวัดนครพนมนั้น มีการตั้งฐานทัสหรัฐอเมริกาที่บ้านหนองบัว ตำบลนาทราย อำเภอเมือง ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 16 กิโลเมตร และบริเวณรอบๆ ฐานทัพจะมีสถานบันเทิงเริงรมย์ต่างๆ ซึ่งทหารอเมริกันชอบหาความสำราญและได้ลักลอบนำยาเสพติด เช่น เฮโรอีน มอร์ฟีน กัญชา เข้าไปเสพด้วย ทำให้ทำงานในฐานทัพและสถานเริงรมย์ต่างๆ มองเห็นโอกาสที่จะหากำไรจากการค้ากัญชาให้กับทหารอเมริกัน

จึงได้ลักลอบปลูกกัญชาโดยการนำเมล็ดมาปลูกเพื่อการค้าเป็นครั้งแรก ที่บ้านต้าย ตำบลโพนสวรรค์อำเภอท่าอุเทน ซึ่งเมื่อปลูกแล้วจะมีนายทุนรับซื้อไว้หมดแล้วนำไปขายตามฐานทัพอเมริกันทุกแห่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งปรากฏว่านายทุนมีรายได้และฐานะดีขึ้นเนื่องจากกัญชาทำรายได้มากกว่าพืชชนิดอื่นๆ โดยในขณะนั้นขายกิโลกรัมละ 350-400 บาท จึงมีการขยายการลักลอบปลูกเป็นวงกว้างออกไปตามหมู่บ้านและอำเภอต่างๆ ของ จ.นครพนม คือ อำเภอท่าอุเทนและอำเภอศรีสงครามเมื่อประเทศสหรัฐอเมริกาถอนฐานทัพกลับนายทุนในประเทศไทยยังคงส่งเสริมให้ราษฎรในพื้นที่อำเภอท่าอุเทนและอำเภอศรีสงครามปลูกเพื่อส่งไปขายยังประเทศสหรัฐอเมริกา และมีบางส่วนได้ขายเพื่อเสพในกลุ่มเยาวชนไทย ต่อมาเมื่อรัฐบาลไทยได้พิจารณาเห็นโทษของกัญชา จึงได้ดำเนินการปราบปรามอย่างจริงจังและต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2522-2527 ดังจะเห็นได้จากสถิติการตัดฟันทำลายไร่กัญชาในพื้นที่แหล่งปลูก โดยในระหว่างปีดังกล่าวนั้นสามารถตัดฟันกัญชาสดได้รวม 4,061 ตัน และสามารถปราบปรามจับกุมกัญชาแห้งนอกพื้นที่ปลูกทั่วประเทศตั้งแต่ พ.ศ.2521-2327 ได้น้ำหนักกัญชาแห้งรวม 533 ตัน (กองควบคุมพืชเสพติด สำนักงาน ป.ป.ส..2529)

แม้จะมีการตัดฟันทำลายไร่กัญชาและปราบปรามจับกุมอย่างจริงจังต่อเนื่อง มาเป็นลำดับก็ตาม แต่การลักลอบปลูกเพื่อการค้ายังคงมีอยู่อย่างมาก และในปัจจุบัน พื้นที่ปลูกกัญชามิได้จำกัดเฉพาะจังหวัดนครพนมเท่านั้น แต่ได้แพร่ระบาดครอบคลุมในพื้นที่แทบทุกจังหวัคในภาคตะวันออกเฉียงเหนือโดยเฉพาะจังหวัดสกลนครและมุกดาหาร ซึ่งเป็นท้องที่ป่าเขาทุรกันดาร เข้าตรวจพบและปราบปรามได้ยากและยังมีการปลูกกระจายไปทั่วทุกภาคของประเทศไทยอีกด้วย ประกอบกับการที่นายทุนและผู้ปลูกได้พัฒนาคิดค้นรูปแบบการค้าและวิธีการเพาะปลูกให้เหมาะสมกับลักษณะภูมิประเทศมากขึ้น เช่น ลักลอบปลูกในเขตป่าสงวน การเจาะป่าเข้าไปเพาะปลูก การปลูกสลับกับมันสำปะหลังและปอ หรือวิธีการปลูกเป็นหย่อมๆ โคยมีพืชอื่นปิดล้อมไร่ รวมถึงการปลูกตามริมห้วย คลองหรือแม่น้ำ ซึ่งห่างไกลจากชุมชนและเข้าสำรวจพบได้ยาก เช่นพื้นที่ที่ติดกับพื้นที่อิทธิพลของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ยิ่งไปกว่านั้นยังได้แบ่งพื้นที่เพาะปลูกออกเป็นแปลงเล็กๆ กระจายห่างกันอยู่เป็นหย่อมๆ เพื่อทำให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตัดฟันทำลายได้ยากขึ้น

เมื่อการปราบปรามของเจ้าหน้าที่มีความเข้มงวดมากขึ้น การลำเลียงกัญชาจากพื้นที่เพาะปลูกทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นแหล่งปลูกขนาดใหญ่ของประเทศไปยังต่างประเทศจึงทำได้ยากขึ้นประกอบกับระยะทางที่ใช้ลำเลียงห่างไกลจากเมืองท่าที่เป็นจุดส่งออก ทำให้มีความเสี่ยงมากและอาจถูกจับกุมได้ง่าย ดังนั้น นายทุนบางกลุ่มจึงได้สนับสนุนให้มีการปลูกในจังหวัดที่มีอาณาเขตติดต่อกับทะเล เช่นชลบุรี จันทบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และชุมพร เพื่อทำให้การส่งออกต่างประเทศสะดวกและง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม พื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงเป็นพื้นที่เพาะปลูกมากที่สุดและมีขนาดใหญ่ที่สุดเช่นเดิม รวมทั้งยังมีนายทุนสนับสนุนเงินทุนเพาะปลูกกัญชาในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อลักลอบนำเข้าประเทศไทยอีกด้วย

ที่มา : สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด

Recent Posts