3. การดูแลรักษา
3.1 การให้น้ำ พริกเป็นพืชที่ต้องการน้ำสม่ำเสมอตั้งแต่เริ่มปลูกไปจนถึงเก็บเกี่ยวเสร็จ ไม่ควรให้น้ำมากเกินไปจะทำให้ดินมีน้ำขังแฉะ โดยทั่วไปควรให้น้ำ 3 – 5 วันต่อครั้ง และควรคลุมดินเพื่อรักษาความชื้นของดินและลดการระเหยของน้ำด้วยฟางแห้งหรือพลาสติกเทาดำ แต่ไม่ควรใช้แกลบคลุม เพราะหลังการพรวนดินกลบโคนแกลบจะสลายตัว ทำให้พริกชะงักการเจริญเติบโต
3.2 การใส่ปุ๋ย นอกจากจะใส่ปุ๋ยดอกและปุ๋ยเคมีรองกันหลุมก่อนปลูกแล้ว การปลูกพริกจำเป็นต้องมีการให้ปุ๋ยเสริมในระหว่างการเจริญเติบโตด้วย เพื่อให้พริกได้คุณภาพและมีผลผลิตสูงขึ้น สำหรับปุ๋ยเคมีที่ใช้ขึ้นอยู่กับสภาพดินแต่ละพื้นที่ เช่น สภาพดินเหนียว ปุ๋ยเคมีที่ใช้ควรมีไนโตรเจน และโพแทสเซียมเท่ากัน ส่วนฟอสฟอรัสให้มีอัตราสูง เช่น สูตร 12-24-12 หรือ 15-30-15 ถ้าเป็นดินร่วนควรให้ปุ๋ยที่มีโพแทสเซียมสูงขึ้นแต่ไม่สูงกว่าฟอสฟอรัส เช่น สูตร 10-20-15 ส่วนดินทรายเป็นดินที่ไม่ค่อยมีธาตุโพแทสเซียม จึงควรใส่ปุ๋ยที่มีธาตุโพแทสเซียมสูงกว่าตัวอื่น เช่น สูตร 15-20-20, 13- 13-21 และ 12-12-17 เป็นตัน โดยทั่วไปควรให้ปุ๋ยแก่พริก ดังนี้
3.2.1 ก่อนย้ายปลูก ใส่ปุ๋ยดอกหรือปุ๋ยอินทรีย์ อัตรา 4 – 5 ตันไร่ หรือจะใช้แบบรองกันหลุมโดยใช้ปุ๋ยคอก (มูลวัว) 2 – 3 กำมือพร้อมปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 25 กิโลกรัม/ไร่ (ประมาณ 8 กรัม หรือ 1 ช้อนชาต่อหลุม) คลุกเคล้าให้เข้ากันดีกับดินก่อนปลูก ถ้าใช้ปุ๋ยคอกที่มาจากมูลเป็ด หมู และค้างคาว ใส่ประมาณ 1 – 1.5 กำมือ
3.2.2 หลังจากย้ายปลูก 30 วัน ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 50 กิโลกรัม/ไร่ ใส่แบบโรยข้างให้ห่างจากโคนต้นประมาณ 1 คืบ แล้วพรวนดินไถกลบลงดิน นอกจากนี้กรณีต้นกลัาไม่แข็งแรงควรให้ปุ๋ยไนโตรเจน เช่น ยูเรียอัตรา 10 – 20 กิโลกรัมไร่ เพื่อช่วยเร่งการเจริญเติบโตของต้นในระยะแรกโดยให้แบบโรยข้าง เมื่อต้นอายุประมาณ 10 – 14 วันหลังย้ายกล้า
3.2.3 หลังจากย้ายปลูก 60 วัน ใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 อัตรา 50 กิโลกรัม/ไร่ ถ้าพริกขาดธาตุอาหารก็จะมีผลต่อการเจริญเติบโต เช่น การขาดธาตุโพแทสเซียมจะทำให้ผลซีดขาว ผิวบางและเมล็ดไม่สมบูรณ์ การขาดธาตุแมกนีเซียมจะทำให้เนื้อเยื่อระหว่างเส้นใบเป็นสีเหลือง ทำให้เกิดอาการใบด่างทั่วใบโดยจะปรากฏอาการในใบแก่ ถ้าขาดธาตุเหล็กจะเกิดอาการยอดเหลือง ใบอ่อนที่ยอดจะเหลืองซีด ใบเล็กกว่าปกติและเจริญเป็นกระจุก ผลพริกจะมีอาการซีดขาว
ที่มา : กรมส่งเสริมการเกษตร